2  ดอกเบี้ย (Interest)

Modified

30 พฤษภาคม 2568

Importantหมายเหตุ

ก่อนเริ่มการคำนวณเชิงสัญลักษณ์ด้วยซิมไพ ขอให้ผู้อ่านทำการเรียกใช้คำสั่งดังต่อไปนี้ก่อน

from sympy import symbols, Eq, solve

เพื่อจะได้ไม่ต้องเรียกใช้งานทุกครั้ง

2.1 ดอกเบี้ยคืออะไร (What is Interest?)

ดอกเบี้ย คือ “ค่าตอบแทนของการใช้เงินในช่วงเวลาหนึ่ง” ผู้ให้ยืมเงินจะได้รับดอกเบี้ยเป็นการตอบแทนจากผู้ยืมเงินที่นำเงินนั้นไปใช้

มุมมองที่สำคัญ

  • ถ้าเราให้คนอื่นยืมเงิน ดอกเบี้ยคือ รายได้ของเรา

  • ถ้าเรายืมเงิน ดอกเบี้ยคือ ต้นทุนที่เราต้องจ่าย

โดยดอกเบี้ยที่ได้จะขึ้นอยู่กับตัวแปรหรือปัจจัย 3 ตัวเป็นหลัก

  • P = เงินต้น (Principal)

  • i = อัตราดอกเบี้ยต่อช่วงเวลา (interest rate per period)

  • t = จำนวนช่วงเวลา (number of periods)

2.2 คุณสมบัติทั่วไปของฟังก์ชันดอกเบี้ย (General Properties of Interest Functions)

ฟังก์ชันดอกเบี้ย (Interest Function) คือฟังก์ชันที่แสดงมูลค่าเงินสะสมเมื่อเวลาผ่านไป โดยมีคุณสมัติดังต่อไปนี้:

  1. Initial Value a(0)=1 ฟังก์ชันสะสมต้องมีค่าเริ่มต้นเป็น 1 เสมอ หมายถึง 1 หน่วยของเงินในวันนี้มีค่าเป็น 1 หน่วยเสมอ

  2. Monotonic Increasing a(t2)>a(t1)fort2>t1 ฟังก์ชันดอกเบี้ยเป็นฟังก์ชัน เพิ่มเสมอ เมื่อ i>0 นั่นคือเงินจะมีค่ามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

  3. Multiplicative Property (Semigroup) a(s+t)=a(s)a(t) โดยเฉพาะในดอกเบี้ยทบต้น สมบัตินี้สำคัญมากในแคลคูลัสของการเงิน เช่น การใช้ force of interest

  4. Continuity and Differentiability (กรณีต่อเนื่อง): ในกรณีที่ a(t) เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง เช่น a(t)=ert, เราสามารถหากำลังของดอกเบี้ย (force of interest) ได้ δ(t)=a(t)a(t) ซึ่งบ่งบอกถึง อัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาเล็กมาก (instantaneous rate)

2.3 ตัวอย่างฟังก์ชันดอกเบี้ยมาตราฐาน

ฟังก์ชันดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือพื้นฐานในคณิตศาสตร์การเงิน ใช้เพื่อวิเคราะห์มูลค่าเงินตามเวลา (time value of money) โดยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเงินต้น อัตราดอกเบี้ย และเวลา ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ ดอกเบี้ยอย่างง่าย (Simple Interest) และ ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest)

2.3.1 ดอกเบี้ยอย่างง่าย (Simple Interest)

Noteนิยาม

ดอกเบี้ยคำนวณจากเงินต้นเพียงอย่างเดียว ไม่สะสมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรอบต่อไป

Interest=Pit ฟังก์ชันสะสม (Accumulation Function)

a(t)=1+it

คุณสมบัติ

  • เป็น ฟังก์ชันเชิงเส้น (Linear)

  • เงินสะสมเติบโตแบบ เส้นตรง

  • ไม่มีการทบต้น

  • ใช้งานง่าย เหมาะกับเงินกู้หรือการลงทุนระยะสั้น

  • ดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละงวดเท่ากันเสมอ

2.3.2 ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest)

Noteนิยาม

ดอกเบี้ยคำนวณจาก เงินต้นรวมกับดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นก่อนหน้า (ทบต้นทุกงวด) Accumulated Value=P(1+i)t ฟังก์ชันดอกเบี้ย a(t)=(1+i)t คุณสมบัติ

  • เป็น ฟังก์ชันเอ็กซ์โปเนนเชียล (Exponential)

  • เงินสะสมเติบโตแบบ เร่ง (ยิ่งเวลานาน ยิ่งเพิ่มเร็ว)

  • ใช้ในการลงทุนระยะยาว เช่น หุ้น พันธบัตร

  • มีคุณสมบัติของ semi-group a(s+t)=a(s)a(t)

  • ถ้าใช้การทบต้นแบบต่อเนื่อง a(t)=ert,δ(t)=a(t)a(t)=r โดย δ(t) คือ force of interest

ตารางเปรียบเทียบ

คุณสมบัติ ดอกเบี้ยอย่างง่าย ดอกเบี้ยทบต้น
ฟังก์ชันสะสม a(t) 1+it (1+i)t
ประเภทฟังก์ชัน เชิงเส้น (Linear) เอ็กซ์โปเนนเชียล (Exponential)
ลักษณะการเติบโต คงที่ เร่งขึ้นตามเวลา
มีการทบต้นหรือไม่ ไม่มี มี
เหมาะกับ เงินกู้/ลงทุนระยะสั้น การลงทุนระยะยาว
Semi-group a(s+t)=a(s)a(t) ไม่ใช่ ใช่

2.3.3 ตัวอย่างฟังก์ชันดอกเบี้ยแบบอื่น (Non-standard or Generalized Interest Functions)

  1. Variable (Time-dependent) Interest Rate อัตราดอกเบี้ยไม่คงที่ ขึ้นกับเวลา a(t)=exp(0tδ(s)ds)

    • โดย δ(s) คือ force of interest ที่เปลี่ยนไปตามเวลา

    • ใช้ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยผันผวน เช่น ในตลาดตราสารหนี้

ตัวอย่าง δ(t)=0.05+0.01ta(t)=exp(0.05t+0.005t2)

  1. Piecewise Interest Function อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนเป็นช่วง ๆ a(t)={(1+i1)tif tT(1+i1)T(1+i2)tTif t>T

    • ใช้ในสัญญาที่กำหนดดอกเบี้ยคงที่ช่วงแรก แล้วเปลี่ยนในภายหลัง

ตัวอย่าง

  • ปีที่ 1–5 อัตราดอกเบี้ย 5%

  • หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 3%

  1. Stochastic Interest Function อัตราดอกเบี้ยเป็น ตัวแปรสุ่ม ใช้ใน financial economics a(t)=E[exp(0trsds)]

    • rs stochastic interest rate process (เช่น Vasicek, CIR)

    • ใช้ในการวิเคราะห์ราคาอนุพันธ์ เช่นพันธบัตร หรือ swap

  2. Stepwise (Discrete Change) อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได เช่น โปรแกรมเงินฝากระยะยาว a(t)=k=1t(1+ik)

    • โดย ik คืออัตราดอกเบี้ยปีที่ k

    • ไม่ใช่ฟังก์ชันต่อเนื่องเหมือน compound ปกติ

ตัวอย่าง

  • i1=0.03, i2=0.04, i3=0.05

  • a(3)=(1+0.03)(1+0.04)(1+0.05)

  1. Hyperbolic Discount Function (Behavioral economics) ใช้ในพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ลดค่าของอนาคตแบบ ไม่เป็นเลขชี้กำลัง (exponential) a(t)=11+kt

    • ไม่ใช่ดอกเบี้ยอย่างง่ายเพราะไม่เป็นเชิงเส้น

    • ไม่ใช่ดอกเบี้ยทบต้นเพราะไม่เป็นเลขชี้กำลัง

    • ใช้ใน behavioral finance เช่น วิเคราะห์การเลือกของมนุษย์

สรุป

แบบ ฟังก์ชัน ใช้เมื่อ
Time-dependent exp(0tδ(s)ds) อัตราดอกเบี้ยแปรผัน
Piecewise เปลี่ยนดอกเบี้ยเป็นช่วง สัญญาดอกเบี้ยเปลี่ยนระยะ
Stochastic E[] วิเคราะห์ตราสารอนุพันธ์
Stepwise (1+ik) เงินฝาก/พันธบัตรแบบขั้นบันได
Hyperbolic 11+kt การเงินพฤติกรรม

ในหนังสือเล่มนี้พิจารณาดอกเบี้ยอย่างง่ายและดอกเบี้ยทบต้นเท่านั้น

จำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับคือผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน นั่นคือเงินสะสมลบด้วยเงินลงทุนนั่นเอง

  1. ดอกเบี้ยอย่างง่าย (Simple Interest) Interest=Pit

  2. ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) Future Value=P(1+i)tP ตัวอย่างการสร้างฟังก์ชันเบี้ยและการคำนวณด้วยซิมไพ

  3. ดอกเบี้ยอย่างง่าย (Simple Interest) สูตร A=P(1+it) โดยที่

  • A มูลค่ารวมเมื่อครบกำหนด

  • P เงินต้น

  • i อัตราดอกเบี้ยต่อปี

  • t ระยะเวลา (ปี)

# กำหนดตัวแปร
P, i, t = symbols('P i t', positive=True)
# สมการดอกเบี้ยอย่างง่าย
simple_int =  P * (1 + i * t)
# แสดงสมการ
simple_int

P(it+1)

ถ้าต้องการแทนค่าลงไป เช่น P=1000, i=0.05, t=3 ปี

simple_int.subs({P: 1000, i: 0.05, t: 3})

1150.0

ถ้าต้องการทศนิยม 2 ตำแหน่งให้เมท๊อด (method) .evalf() ช่วย

simple_int.subs({P: 1000, i: 0.05, t: 3}).evalf(6)

1150.0

  1. ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) สูตร A=P(1+i)t
# สมการดอกเบี้ยทบต้น
compound_int = P * (1 + i)**t
# แสดงสมการ
compound_int

P(i+1)t

ถ้าต้องการแทนค่าลงไป เช่น P=1000, i=0.05, t=3

compound_int.subs({P: 1000, i: 0.05, t: 3}).evalf(6)

1157.63

หมายเหตุ เราสามารถใช้ Lambda เพื่อสร้างฟังก์ชันทั่วไปได้ด้วย เช่น

from sympy import Lambda, lambdify
# ฟังก์ชันดอกเบี้ยอย่างง่าย
# P = เงินต้น, i = อัตราดอกเบี้ย, t =เวลา (ปี)
SI = Lambda((P, i, t), P * (1 + i*t))
SI(1000, 0.05, 3)

1150.0

ต้องการทศนิยม 2 ตำแหน่งอย่าลืมใช้เมท๊อด .evalf()

SI(1000, 0.05, 3).evalf(7)

1150.0

# ฟังก์ชันดอกเบี้ยทบต้น
# P = เงินต้น, i = อัตราดอกเบี้ย, t =เวลา (ปี)
CI = Lambda((P, i, t), P * (1 + i)**t)
CI(1000, 0.05, 3).evalf(6) 

1157.63

ทำไมดอกเบี้ยอย่างง่ายถึงเหมาะกับการลงทุนระยะสั้นและดอกเบี้ยทบต้นเหมาะกับการลงทุนระยะยาว เพราะว่าระยะเวลาการลงทุนน้อยกว่า 1 ปีดอกเบี้ยอย่างง่ายจะให้ผลตอบแทนมากกว่าเพราะว่า

  • ดอกเบี้ยอย่างง่าย (Simple Interest) ดอกเบี้ยจะคำนวณเฉพาะจาก “เงินต้น” เท่านั้น ไม่ว่าระยะเวลาจะยาวนานแค่ไหน ดอกเบี้ยในแต่ละรอบจะเท่าเดิม

  • ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) ดอกเบี้ยที่ได้จะถูกนำกลับไปทบกับเงินต้นทุกงวด ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไปนาน ผลของดอกเบี้ยทบต้น (interest on interest) จะยิ่งเด่นชัด และผลตอบแทนจะเติบโตแบบเอ็กซ์โพเนนเชียล

สามารถเปรียบผลตอบแทนภายในระยะเวลา 1 ปีระหว่างดอกเบี้ยอย่างง่ายกับดอกเบี้ยทบต้นได้ดังนี้ถ้ากำหนดเงินลง P=1,000 และดอกเบี้ยเท่ากับ 20%

ผลตอบแทนระหว่างอัตราดอกเบี้ยอย่างง่ายกับดอกเบี้ยทบต้นในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี

ผลตอบแทนระหว่างอัตราดอกเบี้ยอย่างง่ายกับดอกเบี้ยทบต้นในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี

2.4 อัตราดอกเบี้ยพึงระบุและอัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Nominal and Effective Interest Rates)

ความหมายของอัตราดอกเบี้ย

  • Nominal Interest Rate (อัตราดอกเบี้ยพึงระบุ) คืออัตราดอกเบี้ยต่อปีที่ประกาศไว้โดยไม่คำนึงถึงความถี่ของการทบต้น ตัวอย่างเช่น 12% ต่อปี ทบต้นรายเดือน หรือรายไตรมาส นิยมใช้เพื่อการสื่อสารในตลาดการเงิน เช่น ประกาศในสัญญาสินเชื่อ หรือโบรชัวร์ธนาคาร

  • Effective Interest Rate (อัตราดอกเบี้ยแท้จริง) คืออัตราดอกเบี้ยต่อปีที่แท้จริงซึ่งคำนึงถึงความถี่ในการทบต้นเรียบร้อยแล้ว เป็นอัตราที่สะท้อนผลตอบแทนหรือภาระต้นทุนจริงในรอบปี เหมาะสำหรับใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบทางการเงิน

ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยพึงระบุ และ อัตราดอกเบี้ยแท้จริงกำหนดให้

  • r(m) อัตราดอกเบี้ยพึงระบุ ต่อปี ที่ทบต้น m ครั้งต่อปี

  • i อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Effective Annual Rate หรือ EAR)

  • m จำนวนครั้งที่ทบต้นใน 1 ปี

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคือ i=(1+r(m)m)m1 หรือเขียนกลับเพื่อหาค่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง r(m)=m((1+i)1/m1) ตัวอย่างที่ 1 คำนวณ Effective จาก Nominal

หากอัตราดอกเบี้ยพึงระบุ r(12)=12% และทบต้นรายเดือน (m=12) จะได้

# นิยามตัวแปร
i, r, m = symbols('i i^{(m)} m', positive=True)
r # Nominal interest

i(m)

# สร้างนิพจน์ของอัตราดอกเบี้ยแท้จริง
i = (1 + r/m)**m - 1
i

(i(m)m+1)m1

# แทนค่าจริง
i_numeric = i.subs({r: 0.12, m: 12})
i_numeric.evalf(4)

0.1268

แสดงว่าแม้ธนาคารจะประกาศดอกเบี้ย 12% ต่อปี แต่เมื่อคิดผลของการทบต้นรายเดือนแล้ว จะให้ผลตอบแทนจริงประมาณ 12.68%

ตัวอย่างที่ 3 ถ้าทราบค่า Effective Annual Rate(i) และต้องการหา Nominal Interest Rate ที่ทบต้น m ครั้งต่อปี หรือก็คือ i(m) ด้วยซิมไพ เราสามารถแก้สมการด้วยซิมไพได้ดังนี้

จากความสัมพันธ์: i=(1+i(m)m)m1

เราต้องการ แก้สมการหา i(m) ซึ่งเรียกว่า Nominal Annual Rate compounded m times per year หรือ i(m) ขั้นตอนในซิมไพคือ

# กำหนด symbol
i, r, m = symbols('i i^{(m)} m', positive=True)
# สมการจาก EAR
eq = Eq((1 + r/m)**m-1, i)
eq

(i(m)m+1)m1=i

แก้สมการด้วยคำสั่ง solve()

sol = solve(eq, r)
sol[0]

m+(mm(i+1))1m

ตัวอย่างที่ 3 เปรียบเทียบ Nominal ต่างกัน

สมมุติว่ามี 2 ตัวเลือก

  • กองทุน A เสนอผลตอบแทน 12% ต่อปี ทบต้นรายปี (ปีละครั้ง)

  • กองทุน B เสนอ 11.8% ต่อปี ทบต้นรายเดือน

ให้เปรียบเทียบว่ากองทุนใดให้ผลตอบแทนแท้จริงสูงกว่า

กองทุน A ให้อัรตาดอกเบี้ย iA=0.12 ต้องเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย i(12)=0.118 ให้เป็น i กองทุน B:จากตัวอย่างที่ 1 ที่ผ่านมาจะได้

# สร้างนิพจน์ของอัตราดอกเบี้ยแท้จริง
i = (1 + r/m)**m - 1
i_numeric = i.subs({r: 0.118, m: 12})
i_numeric

0.124595717465678

ถ้าต้องการทศนิยม 4ตำแหน่งสามารถใช้ .evalf() ช่วยได้ คือ

i_numeric.evalf(4) # ตัวเลขในวงเล็บ คือจำนวนหลักของตัวเลขที่ปรากฏ

0.1246

แม้กองทุน B จะมี Nominal ต่ำกว่า แต่ด้วยการทบต้นรายเดือน ผลตอบแทนจริงกลับสูงกว่ากองทุน A

หรือจะเปลี่ยน iA เป็น iA(12) ก็ได้ เนื่องจาก คำสั่ง solve(eq, r) คืนค่าเป็น ลิสต์ (list) ของคำตอบ และ sol เป็นลิสต์ ที่มี 1 ตัว ดังนั้น ต้องใช้ sol[0] เพื่อดึงนิพจน์ทางคณิตศาสตร์ออกมา

# กำหนด symbol
i, r, m = symbols('i r m', positive=True)
# สมการจาก EAR
eq = Eq((1 + r/m)**m - 1, i)
sol = solve(eq, r)
sol[0].subs({i: .12, m: 12}).evalf(4)

0.1139

จะเห็นว่า iA(12)=.1139 น้อยกว่า iB(12)=.118

Noteข้อสังเกตุ
  • ยิ่งจำนวนครั้งในการทบต้น m มากขึ้น (เช่น รายเดือน รายวัน รายชั่วโมง) ผลของดอกเบี้ยทบต้นจะยิ่งมากขึ้น

  • เมื่อ m (ทบต้นต่อเนื่อง) จะได้ i=er1

  • Nominal ที่ไม่มีการทบต้น (หรือทบต้นแค่ปีละครั้ง) จะเท่ากับ Effective

แน่นอนครับ! ด้านล่างคือการพิสูจน์ว่า

limm(1+rm)m=er

ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเปลี่ยนจาก อัตราดอกเบี้ยแบบทบต้นจำนวนครั้งไม่จำกัด (continuous compounding) สู่รูปแบบ er

เราสามารถใช้ซิมไพหาค่าลิมิตได้ โดยใช้คำสั่ง limit() เพื่อแสดงว่าได้ผลลัพธ์เป็น er จริง

from sympy import limit, oo 
# สร้าง symbol
r, m = symbols('r m', positive=True, real=True)
# นิพจน์ด้านซ้ายของลิมิต
expr = (1 + r/m)**m
# คำนวณลิมิตเมื่อ m เข้าใกล้ oo
lim_expr = limit(expr, m, oo)
lim_expr

er

ความหมายทางการเงิน

  • เมื่อจำนวนรอบการทบต้นในปีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (เช่น รายเดือน รายวัน รายชั่วโมง รายวินาที)

  • มูลค่าสะสมของเงินต้นที่ลงทุนด้วยอัตรา r ต่อปีจะเข้าใกล้ A=Pert ซึ่งเป็น สูตรทบต้นต่อเนื่อง (continuous compounding)

2.5 ความสัมพันธ์ระหว่างดอกเบี้ยแบบต่างๆ

สัญลักษณ์ ความหมาย
i อัตราดอกเบี้ยแบบ effective ต่อปี
v มูลค่าปัจจุบันของ 1 บาทใน 1 ปี = 11+i
j=i(m)m อัตราดอกเบี้ยแบบ nominal ต่อปี (ทบปีละ m ครั้ง)
i(m) อัตราดอกเบี้ย effective ต่อปี จากการทบปีละ m ครั้ง
r อัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง (force of interest)
er การทบต้นแบบต่อเนื่อง

สูตรความสัมพันธ์ทั้งหมด

ระหว่าง i และ v
v=11+iและi=1vv ระหว่าง i และ i(m) หรือ Nominal rate i(m)=(1+jm)m1

j=m((1+i)1/m1)

เมื่อ j คือ nominal annual rate ทบต้นปีละ m ครั้ง

ระหว่าง i และ r (ต่อเนื่อง) 1+i=erหรือr=ln(1+i)

i=er1 ระหว่าง v และ r
v=erและr=ln(v)

สรุปความสัมพันธ์

ความสัมพันธ์ สูตร
vi v=11+i, i=1vv
i(m)j i(m)=(1+jm)m1, j=m[(1+i)1/m1]
ir 1+i=er, r=ln(1+i), i=er1
vr v=er, r=ln(v)

2.6 อัตราตราส่วนลด (Discount Rate)

ผู้อ่านคงเคยพบการยืมเงินในรูปแบบนี้ ต้องการยืมเงิน 1000 คิดดอกเบี้ย 10% ต่อปี แต่ผู้กู้ได้รับเงินเพียง 900 บาทและเมื่อครบปีต้องชำระหนี้ด้วยเงิน 1,000 บาท นั้นก็คืออัตราส่วนลด

ในคณิตศาสตร์การเงิน “อัตราส่วนลด” ใช้ในการหามูลค่าปัจจุบัน (Present Value, PV) จากมูลค่าในอนาคต (Future Value, FV) โดยคิดว่าเงินจะถูก “ลดลง” แทนที่จะ “งอกขึ้น” (เหมือนดอกเบี้ย) และสัญลักษณ์ที่คือ d

2.7 อัตราส่วนลดอย่างง่าย (Simple Discount Rate)

แนวคิด ใช้อัตราส่วนลดแบบเส้นตรง โดยหักเงินจาก F ลงมาตรงๆ ตามจำนวนปี PV=FV(1dt) โดยที่

  • PV = มูลค่าปัจจุบัน

  • FV = มูลค่าในอนาคต

  • d = อัตราส่วนลดแบบ simple ต่อปี

  • t = จำนวนปี

2.7.1 อัตราส่วนลดทบต้น (Compound Discount Rate)

แนวคิด คล้ายกับ compound interest แต่กลับด้าน เป็นการลดลงแบบทบต้น PV=FV(1d)tหรือv=1d ### ความสัมพันธ์ระหว่าง d i และ v d=1v=i1+i ดังนั้น i=d1d และ v=1d

Importantหมายเหตุ

ในหนังสือเล่มจะไม่สนใจอัตราส่วนลด จะพิจารณาเฉพาะอัตราดอกเบี้ย i เป็นหลักเท่านั้น

2.8 แบบฝึกหัด

Cautionหัวข้อ Interest, Accumulation, and Amount Functions
  1. อธิบายความแตกต่างระหว่างฟังก์ชันอัตราดอกเบี้ย (interest function) กับฟังก์ชันการสะสม (accumulation function) และยกตัวอย่างสถานการณ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับแต่ละฟังก์ชัน

  2. หากมีฟังก์ชันการสะสม a(t) เป็น a(t)=(1+0.05)t จงอธิบายว่าอัตราดอกเบี้ยแบบใดที่ใช้ และใช้ฟังก์ชันนี้อย่างไรในการคำนวณมูลค่าอนาคตของเงินลงทุน

  3. สมมติให้ฟังก์ชัน a(t)=1+0.08t เป็นฟังก์ชันการสะสม จงอธิบายว่าฟังก์ชันนี้บ่งชี้ถึงลักษณะของการคิดดอกเบี้ยแบบใด พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับฟังก์ชัน a(t)=e0.08t

Cautionหัวข้อ Simple Interest
  1. นายก้องต้องการกู้เงิน 50,000 บาท โดยตกลงว่าจะชำระคืนแบบดอกเบี้ยอย่างง่ายเป็นเวลา 3 ปี ธนาคารเสนออัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี จงเขียนแผนผังกระแสเงินสด และอธิบายว่ามูลค่าเงินจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรในแต่ละปี

  2. ถ้ามีสองทางเลือกการลงทุน: (ก) ดอกเบี้ย 5% แบบอย่างง่าย และ (ข) ดอกเบี้ย 4.5% แบบทบต้น คุณจะใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกการลงทุน? ให้เหตุผลโดยใช้แนวคิดของอัตราดอกเบี้ยแท้จริง

  3. มีเงินลงทุน 100,000 บาทในโครงการที่เสนอผลตอบแทนแบบ simple interest 7% ต่อปี ผู้ลงทุนรายหนึ่งเข้าใจผิดว่าดอกเบี้ยนี้จะทบต้น อธิบายผลที่เกิดขึ้นหากเขาประเมินรายได้ผิด

Cautionหัวข้อ Compound Interest
  1. บริษัทแห่งหนึ่งวางแผนลงทุนเงินก้อนเพื่อใช้จ่ายในอีก 10 ปีข้างหน้า หากต้องการให้เงินเติบโตเป็น 2 เท่าด้วยดอกเบี้ยทบต้น คุณจะใช้อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำเท่าใด?

  2. อธิบายผลของการเพิ่มความถี่ในการทบต้น (เช่น รายปี รายเดือน รายวัน) โดยใช้ตัวอย่างเงินลงทุน 10,000 บาท และแสดงแนวโน้มของการเติบโตของเงิน

  3. นักลงทุนรายหนึ่งกำลังพิจารณาฝากเงินในบัญชีที่มีการทบต้นรายเดือน อธิบายว่าจะสามารถคำนวณมูลค่าของเงินได้อย่างไร โดยใช้อัตราดอกเบี้ยและระยะเวลา

  4. ให้เปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนในบัญชีที่ทบต้นแบบรายปีและแบบทบต้นรายเดือน โดยใช้หลักการของ compound interest และอธิบายผลต่างที่เกิดขึ้นจากการทบต้นถี่ขึ้น

Cautionหัวข้อ Nominal vs Effective Interest Rates
  1. ธนาคาร A เสนออัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปีทบต้นรายปี ขณะที่ธนาคาร B เสนอ 5.8% ต่อปีแต่ทบต้นรายเดือน ถ้าคุณต้องเลือกฝากเงินกับธนาคารใด ควรพิจารณาจากปัจจัยใด และควรคำนวณอย่างไร

  2. จงอธิบายว่าทำไมการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยระหว่างแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ควรใช้อัตรา Effective Rate แทน Nominal Rate

  3. นักลงทุนบางคนเข้าใจผิดว่าอัตราดอกเบี้ยพึงระบุ (Nominal) คืออัตราที่ได้รับจริงเสมอ คุณจะอธิบายความแตกต่างนี้อย่างไร โดยยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย

  4. นายประทีปเลือกลงทุนในพันธบัตรที่จ่ายดอกเบี้ยแบบ nominal 10% ต่อปี ทบต้นรายไตรมาส เขาต้องการทราบว่าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่เขาได้รับคือเท่าใด และมีผลต่อการวางแผนการเงินของเขาอย่างไร

  5. นักลงทุน 2 คนเลือกลงทุนในกองทุนต่างกัน คนแรกได้อัตรา effective 6.2% ต่อปี ส่วนอีกคนได้ nominal 6.5% ต่อปี ทบต้นปีละ 2 ครั้ง จงอธิบายว่าใครได้รับผลตอบแทนมากกว่า